BACK TO EXPLORE

I do it naturally because I’m Every Woman

I do it naturally because I’m Every Woman
ประสบการณ์ ตัวตนอีกด้าน และความเป็น “ทุกๆ อย่าง” มากกว่าคำว่า “ผู้หญิงเก่ง” ในสายตาของสังคม


จริงอยู่ว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ ต้องได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนและการปฏิบัติที่ให้เกียรติจากเพศตรงข้าม แต่ความเป็นจริงแล้วความอ่อนโยนนั้นไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ และในทางเดียวกันความแข็งแกร่งจึงไม่ได้หมายถึงความแข็งกร้าว ผู้หญิงจึงก้าวเข้ามามีบทบาทและสถานะทางสังคมมากกว่าแต่ก่อน

โลกปัจจุบันของเราได้ให้กำเนิดผู้หญิงที่มีความสามารถมากมาย มีความถนัดและความคิดสร้างสรรค์หลากหลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับสังคมและพัฒนาขีดความสามารถของประเทศให้ไปได้ไกลกว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำคัญของเดือนแห่งเพศแม่ ในวันนี้ Siam Discovery ได้เชิญผู้หญิงมากความสามารถทั้ง 4 คน 4 แบบเพื่อมาแชร์ประสบการณ์และตัวตนอีกด้าน และความเป็น “ทุกๆ อย่าง” มากกว่าคำว่า “ผู้หญิงเก่ง” ในสายตาของสังคมเพียงด้านเดียว ในธีม “I’m Every Woman”


เริ่มจากบรรณาธิการนิตยสาร Vogue ผู้เป็นหัวเรือใหญ่แห่งวงการแฟชั่นไทยอย่าง คุณปุ๊ก จงกล พลาฤทธิ์ ภาพของผู้หญิงเก่ง ตัวแทนของความมั่นใจที่คนในวงการแฟชั่นและอีกหลายวงการเห็นพ้องต้องตรงกัน วันนี้เรามารู้จักตัวตนอีกด้านของคุณปุ๊ก จงกล กันแบบเจาะลึก

อีกด้านหนึ่งของบรรณาธิการเเฟชั่นชื่อดังของไทย

อีกมุมนึงของเจ้าแม่แฟชั่นผู้สวมบทบาทบ.ก. แฟชั่นของ Vogue และผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของไทยแล้ว คุณปุ๊กเป็นคุณแม่มืออาชีพ แต่คุณแม่ในที่นี้อาจจะตีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้างตรงที่ คุณปุ๊กไม่ได้มองว่าความเป็นแม่ คือการต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก

"เมื่อกลายเป็นแม่คน มันไม่ใช่แค่เรื่องการปรับตัวเมื่อมีอีกคนเพิ่มเข้ามา แต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตในด้านที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่า บ.ก. แฟชั่นจะต้องสนใจแต่เรื่องการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของโลกแฟชั่น การซื้อของ อัพเดตเทรนด์ ตลอดเวลา แต่เรามองเรื่อง culture ลึกลงไปมากขึ้น ปุ๊กมองว่าแฟชั่นมันไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่เป็นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งแบบครอบครัวหรือสังคม ปุ๊กชอบอะไรที่เกี่ยวกับชีวิตของคนไทย วิถีชีวิตไทย craftmanship ของไทย อาจจะมีคนมองว่าเราต้องสนใจแต่สินค้าแบรนด์ระดับโลกจากต่างประเทศ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ เราเองก็ชอบพวกสังคมไทยๆ เพราะมองว่ามันมีเสน่ห์”

สุดท้ายแล้วพอได้คลุกคลีกับความเปลี่ยนผ่านของโลกเเฟชั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่ง คนเราก็จะกลับสู่รากเหง้าของเรา เพื่อความสงบ เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่า และเราก็รู้สึกซาบซึ้งกับวิถีไทยซึ่งไม่สามารถหาได้จากที่ไหน ตรงนี้อาจจะดูขัดกับตัวตนของเรา ด้วยความที่เป็นคนโฉบเฉี่ยวมาโดยตลอด

“ทุกคนมีด้านที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คนมองเสมอ เชื่อว่าทุกๆ คนไม่สามารถเข้าถึงเราได้ในทางอารมณ์ความรู้สึกเพราะเห็นจากแค่สิ่งที่แสดงออกมาภายนอก เช่นปุ๊กเป็นคน sensitive มาก แม้ว่าข้างนอกจะดู strong มากก็ตามที”
 





นอกจากเป็น บ.ก. นิตยสารแฟชั่นแล้ว ยังเป็นคุณแม่มืออาชีพอีกด้วย

“หลายคนมองว่าการมีลูกเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ก่อนที่จะมีลูกก็เคยคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่พอมีลูกจริงๆ แล้วเรามีหน้าที่การงานใหม่ๆ เข้ามาอยู่ตลอดเวลา มีกิจกรรมต่างๆ มาให้ท้าทายตลอด เราก็คิดว่าการเป็นแม่ที่มีความสุขคือ อย่าไปคิดล่วงหน้าว่ามันเป็นเรื่องเครียดหรือเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร ปุ๊กเชื่อว่าทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นแม่คนนะ เมื่อเราเป็นแม่คน การจัดสมดุลชีวิตสำคัญที่สุด ต้องแบ่งเวลาให้ความสำคัญกับทุกๆ อย่างเท่ากัน อย่างที่มันควรจะเป็น แน่นอนว่าเรารักลูกมากที่สุด แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ลูกไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ชีวิตคนเรามีหลายอย่าง เช่น การงาน ครอบครัว หรือ ระหว่างเรากับสามี ระหว่างเรากับลูก”
 
การจัดสมดุลชีวิตนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีอะไรตายตัว ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นๆ ณ สถานการณ์นั้นๆ เช่น เช้าถึงเย็นเราก็ให้เวลางานเต็มที่ แต่เราจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับงานก็คงทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็จัดสรรเวลาให้ลูก อาจจะให้เวลาเขาก่อนไปทำงาน ต้องตื่นให้เร็วขึ้น ส่วนหลังเลิกงานเราอาจจะเคยสังสรรค์กับเพื่อนๆ ไปกินอะไรที่อยากกิน ตรงนี้ก็อาจจะต้องลดไป ส่วนสามีก็จะเป็นเวลาที่ลูกนอนแล้ว ก็จะมีเวลาของเราสองคน เราก็ยังให้เวลากับกิจกรรมระหว่างเรากับสามี กับเพื่อนๆ เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าอยู่แต่กับลูกอย่างเดียวจงหลงลืมความสัมพันธ์ที่ดีแบบนั้นไป

การเลี้ยงลูกของคุณปุ๊กเป็นแบบไหน

เชื่อว่าคนเราไม่ว่าเป็นพ่อหรือเป็นแม่คน ถ้าให้กำเนิดลูกมาแล้วเราก็ต้องเป็นคนแนะนำชีวิตให้เขา ไม่ใช่การขีดเส้นให้ บอกให้เค้าทำอะไร แต่เราจะไม่ได้เลี้ยงเขาแบบอิสระนะ คอยดูปฏิกิริยาต่างๆ ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จะไม่บังคับลูก แล้วไม่ใช่ไม่ให้ลองอะไรเลย แต่จะคอยสังเกตลูกอยู่ห่างๆ

"ถามว่าแม่อยากอยู่กับลูก 24 ชั่วโมงไหม แน่นอนใครก็อยาก แต่มันไม่ใช่ทุกคนจะเลือกได้ เพราะฉะนั้นปล่อยวาง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แบ่งเวลาให้กับทุกๆ อย่างให้เหมาะสมจะดีที่สุด”

“ปุ๊กค่อนข้างเลี้ยงลูกแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เอาใจไม่ได้โอ๋ เพราะเชื่อว่าถ้าอยากให้ลูกเติบโตมาแบบเข้มแข็ง เราก็ต้องดูแลเขาแบบเข้มแข็งด้วย ไม่ได้ระวังมากเกินไป จริงๆ แล้วเราดูแลอุ้มชูในระดับหนึ่ง แต่ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกการป้องกันตัวหรือความรู้สึกนึกคิดทางสังคมที่ต้องพัฒนาด้วยตัวเขาเอง”


คุณปุ๊กมองเรื่อง "คุณแม่ทำงาน” อย่างไร

หลังจากที่ได้พูดคุยกับหลายๆ คนที่เป็นคุณแม่และเป็นคนที่ทำงานหนัก ส่วนมากจะรู้สึกผิดเพราะคิดว่ามีเวลาให้ลูกน้อย มันก็จะเครียดเกินไป เราต้องมองวิถีชีวิตของคุณเป็นหลักว่า เราเป็นคนทำงาน ถ้ามีลูกขึ้นมาเราก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงการทำงานได้ ก็ต้องพยายามทำให้ลูกเข้าใจว่าต้องอยู่กับคุณแม่แบบนี้นะ เพราะถามว่าแม่อยากอยู่กับลูก 24 ชั่วโมงไหม แน่นอนใครก็อยาก แต่มันไม่ใช่ทุกคนจะเลือกได้ เพราะฉะนั้นปล่อยวาง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แบ่งเวลาให้กับทุกๆ อย่างให้เหมาะสมจะดีที่สุด


นอกจากการเป็น บ.ก. นิตยสารแฟชั่นแล้วคุณปุ๊กสนใจอะไรอีกบ้าง

“ตอนนี้ปุ๊กช่วยดูแลธุรกิจของสามีเกี่ยวกับการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ ซึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเราเข้าไปคลุกคลีกับมันจริงๆ จังๆ เพราะที่จริงแล้ว design กับ fashion เป็นอะไรที่ไปด้วยกันได้ แยกกันไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือแฟชั่น พื้นฐานมันคือการมีความคิดสร้างสรรค์ทั้งสิ้น ต่างกันแค่รูปแบบการใช้งานเท่านั้น”





มาถึงผู้หญิงเก่งคนต่อไป เราหลายคนอาจจะเคยได้ยินและรับฟังข่าวการวิ่งเพื่อการกุศลอย่างโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ที่ริเริ่มโดยร็อคเกอร์ชื่อดังของไทยอย่าง “ตูน บอดี้สแลม” แต่เชื่อว่าน้อยคนนักจะรู้จักผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของตูน บอดี้สแลม ในการช่วยดูแลสภาพร่างกาย อย่าง หมอเมย์ พญ. สมิตดา สังขะโพธิ์

นอกจากภาพสาวนักวิ่งแล้ว อีกด้านของหมอเมย์ คือคุณหมอนักเวชศาสตร์ฟื้นฟู ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ตูน บอดี้สแลมตลอด 10 วัน ในระยะทาง 400 กิโลเมตรในโคงการ “ก้าวคนละก้าว” คุณหมอเมย์ยังเป็นผู้หญิงเก่ง ที่เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย ผู้ให้ความสำคัญกับการกิน การนอน การใช้ชีวิต และการออกกำลังกาย เพื่อชีวิตที่แข็งแรงมากขึ้น

งานกับเรื่องวิ่งคุณหมอทำให้เป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร

15 ปีที่ผ่านมาเป็นคนชอบเข้ายิม โยคะ ออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่เมื่อประมาณ 4 ปีก่อนให้ความสนใจกับการวิ่งแบบจริงจัง แต่ด้วยความที่เป็นหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูตั้งแต่แรก งานหลักๆ คือการรักษาคนไข้เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ โรคออฟฟิศซินโดรม ทำกายภาพบำบัดต่างๆ พอได้เริ่มมาวิ่ง ก็เริ่มรู้ถึงปัญหา เข้าถึงอาการที่นักวิ่งประสบพบเจอแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี แล้วเรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็เริ่มเอามาใช้กับตัวเองก่อน แล้วก็เอามารักษาคนไข้ได้อย่างเข้าใจ วินิจฉัยได้ตรงมากขึ้น ซึ่งตอนนี้จากคนไข้ทั้งหมด กว่า 80% เป็นผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง

“นี่คือสิ่งที่เราสามารถผสมผสานระหว่างความชอบในกิจกรรมส่วนตัวและการทำงานไปได้อย่างสนุก เพราะเราใช้ประสบการณ์การยืดเหยียด เทคนิคการออกกำลังมารักษาคนไข้ได้”


ดูเหมือนว่าอาชีพแพทย์กับการออกกำลังกายจะไปกันค่อนข้างยากในเรื่องของเวลา คุณหมอมีวิธีแบ่งเวลาให้การออกกำลังกายอย่างไร

ปกติแล้วจะเห็นหมอใช้เวลาทำงานที่โรงพยาบาลยาวนานกว่าอาชีพอื่น แต่จริงๆ เราใช้ชีวิตในโรงพยาบาลนานกว่านั้นอีก ไหนจะมีคลินิกเอกชน หรือเพจให้ความรู้เรื่องสุขภาพ “Good Health สุขภาพดีอย่างมีกึ๋น” เราก็พยายามหาเวลาซ้อมวิ่งมาราธอนในช่วงเช้า และช่วงเย็นเล่นเวทเทรนนิ่งเตรียมร่างกายให้พร้อมตลอดเวลา เพราะปีนี้มีเป้าหมายคือวิ่ง Ultra Marathon ระยะ 100 กิโลเมตร ซึ่งการแบ่งเวลานั้นสำคัญ


ช่วยแนะนำวิธีการแบ่งเวลาของหมอเมย์ ระหว่างการทำงานที่หนักหน่วงและความต้องการออกกำลังกายที่เข้มข้นได้อย่างไร

ก่อนอื่นที่อยากแนะนำเลยคือการพักผ่อน หมอจะให้ความสำคัญกับการนอน เวลาที่สำคัญกับการนอนคือช่วงเวลาระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 ซึ่งการนอนแบบนอนดึกมากๆ แล้วไปนอนตื่นสายนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แล้วพลังงานในตัวก็จะ ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าเรานอนเร็วมันจะเป็นการกักเก็บพลังงานที่ดีในการทำงาน การออกกำลังกาย ซึ่งนี่เป็นเทคนิคส่วนตัว สำหรับคนที่ต้องนอนดึกเพื่อทำภารกิจหรืองานต่างๆ ลองนอนให้เร็วขึ้นและตื่นเช้าหน่อย เพื่อมาสานต่อภารกิจให้สำเร็จ มันจะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมทั้งการทำงาน และการออกกำลังกายที่ดีกว่าแน่นอน

“ผู้หญิงเรามันอยู่ที่ว่าให้ความสำคัญกับอะไร อย่างหมอเนี่ยอาชีพก็ต้องเป็นหมอคอยรับผิดชอบชีวิตคนไข้ แล้วก็ชอบออกกำลังชอบวิ่งด้วย ต้องมีเพื่อนๆ มีครอบครัวเราก็แบ่งเวลาให้พอดีๆ ไม่ได้ลดความสำคัญตรงไหนลงไป เพราะฉะนั้นเรามีเวลาให้การออกกำลังกายเสมอ ไม่ว่าจะมีภารกิจเยอะขนาดไหน มันอยู่ที่การจัดสรรเวลาล้วนๆ”


เป้าหมายต่อไปในการวิ่งของคุณหมอ

ตอนนี้มีเป้าหมาย 100 กิโลเมตร กับเวลาที่ค่อนข้างท้าทายสภาพร่างกายนิดหน่อย เพราะเชื่อว่า 100 กิโลเมตรวิ่งได้แน่นอน แต่ต้องวางแผนให้ดีในการทำเวลาให้ดี ปีหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เช่นการลดระยะ หรือ การทำเวลาในระยะเดิมให้ดีขึ้น อะไรประมาณนั้น


หลายๆ คนยังไม่รู้ว่าหมอเมย์มีเพจที่ให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ เรื่องการออกกำลังกาย ที่มียอดคนกดไลก์กว่า 30,000 คน ตรงนี้เป็นมาอย่างไร

เพจ “Good Health สุขภาพดีอย่างมีกึ๋น” เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ เพราะด้วยเราเป็นหมอด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) เลยอยากใช้ความรู้และประสบการณ์ทำงานที่มี แชร์ให้กับผู้สนใจด้านนี้ ให้เอาไปใช้ดูแลตัวเองแล้วก็พัฒนาศักยภาพได้




ย้อนกลับเข้ามาเรื่องโครงการ “ก้าวคนละก้าว” คุณหมอมองความสำเร็จตรงนี้ และคิดว่ามันจะต่อยอดได้อย่างไร

ตอนนั้นเรารับบทเป็นทีมแพทย์ที่ดูแลการวิ่ง การวางแผนการใช้พลังงานร่างกาย อาหาร การพักผ่อนตามระยะของพี่ตูน ซึ่งการวิ่งระยะนั้น การกายภาพหลังการวิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การวิเคราะห์วางแผนการใช้ความเร็วในการวิ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน ในการวิ่งระยะยาวๆ การแบ่งซอยเป็นระยะสั้นๆ ทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่อ่อนล้าจนเกินไป รวมถึงการเติมเกลือแร่ อาหารต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอีกด้วย


ได้ยินมาว่าคุณแม่ของคุณหมอ อายุมากถึง 60 กว่าปีแล้วแต่ก็ยังวิ่งมาราธอนอยู่

“เริ่มจากคุณแม่ไปนั่งรอหมอวิ่งมาราธอนที่ภูเก็ตเมื่อสองปีก่อน แล้วไม่มีอะไรทำ แกก็เลยเกิดความคิดว่า เออ เราก็ยังพอมีแรงนะ ก็เลยคิดว่าอยากจะวิ่งขึ้นมาเพื่อไม่ให้เสียเวลา แล้วก็ให้สุขภาพแข็งแรง เลยเป็นจุดเริ่มต้น เริ่มจากการเดินรอบสองรอบ เพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ เริ่มลองสมัครงานวิ่งให้เพิ่มระยะไปเรื่อยๆ ฝึกซ้อมไปด้วยกัน ล่าสุดเป็นการวิ่งมาราธอนระยะยาวไปบางแสนที่ใช้เวลากว่า 28 ชั่วโมงก็ทำสำเร็จได้ หลายคนอาจจะคิดว่าการวิ่งในคนมีอายุทำไม่ได้ จะปวดเข่า เจ็บข้อมากกว่าเดิม แต่จริงๆ เรายังสามารถทำได้ในทุกๆ วัย แต่กรณีของผู้สูงวัยอาจจะต้องมีการวางแผนเลือกระยะทางที่เหมาะสม ต้องฝึกฝน อดทน การดูแลอาหาร การพักผ่อน การยืดหยุ่นที่ดีกว่าในวัยอื่นๆ เท่านั้นเอง”


ในฐานะที่หมอเมย์เชี่ยวชาญด้านการวิ่งและด้านสรีรศาสตร์ อยากให้คุณหมอแนะนำรองเท้าวิ่งสักนิด

ปกติรองเท้าวิ่งมี 3 แบบหลักๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราถนัดลงน้ำหนักที่เท้าแบบไหน เริ่มจากแบบ Classic เช่น Nike, Adidas, Asics จะมีส้นเท้าที่หนากว่าหน้าเท้า มีการซัพพอร์ตในแผ่นรองเท้าตามเทคโนโลยีเฉพาะของแต่ละแบรนด์ การใช้งานก็ลงน้ำหนักได้ทั้งแบบกลางเท้าและหลังเท้า ถ้าลงหน้าเท้าจะยากหน่อยเพราะส้นมันหนา ประเภทต่อไปคือรองเท้าประเภทที่เรียกว่า zero drop จะเป็นลักษณะหน้าเท้าที่แบนๆ ซึ่งจะสามารถทำให้ลงน้ำหนักตรงกลางเท้าได้ดีกว่า ประเภทสุดท้าย คล้ายๆ กับ zero drop แต่จะเป็นลักษณะที่สวมเข้าไปเป็นนิ้วเท้าเลยเรียกว่าพื้น Vibram จะไม่มีการซัพพอร์ตเลย แค่เป็นแผ่นรองเท้าเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้รองเท้าประเภทนี้จะต้องมีเท้าที่แข็งแรงมากและวิ่งมานาน แต่ประโยชน์ของมันที่รองเท้าประเภทอื่นให้ไม่ได้คือเรื่อง "การทรงตัวที่ดีเยี่ยม” เนื่องจากผู้ใช้จะรับรู้สัมผัสระหว่างเท้าและพื้นผิวถนนได้ดีกว่า ลดอาการเท้าพลิกซึ่งเหมาะกับคนมีอายุนั่นเอง สำหรับคนวิ่งใหม่ๆ ก็ใช้แบบคลาสสิกไปก่อนเพื่อการซัพพอร์ตที่ดี




มาถึงผู้หญิงเก่งคนต่อไป ในภาพศิลปินสุดเฉี่ยวมีความมั่นใจสูงในการแต่งตัว เป็นนางแบบและนางเอก music video ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงนับสิบปีอย่าง ติว ดิษยา กรกชมาศ เธอก็มีด้านมุมอื่นๆ ที่ใครๆ ก็อาจจะยังไม่รู้จัก

คุณติวมีตัวตนอีกด้านที่หลายๆ คนยังไม่รู้บ้างไหม?

อีกด้านของติวคือเป็นคนชอบเที่ยวต่างจังหวัด ชอบเที่ยวสถานที่ธรรมชาติที่สวยงาม ทำกิจกรรมกลางแจ้งสนุกๆ กับเพื่อนๆ ไม่ใช่ว่าจะอยู่แต่งานอีเวนท์หรือในเมืองเท่านั้นเพราะเราก็เป็นคนลุยๆ ช่วงนี้กำลังสนุกกับการดำน้ำแบบ free diving ใช้ช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์ในการฟอร์มทีมดำน้ำกับเพื่อนๆ ชื่อว่า “Suntan Team” มีหลายคนคิดว่าเป็นการรวมกลุ่มเพื่อการค้าหรือเปล่า แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะเราอยากฟอร์มขึ้นมาให้มันดูสนุกและจริงจัง เราก็จะไปตามทะเลไทยที่สวยๆ และบางครั้งก็ไปถึงพม่า

“การดำน้ำแบบ Free diving เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเพราะเป็นการดำน้ำประเภทที่ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจอะไรเลย นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้วอีกเรื่องที่ติวสนใจก็จะเป็นเรื่องความสวยความงาม Skincare, Makeup ซึ่งตรงนี้ก็จะมีเพื่อนๆ เข้ามาถามบ่อยมาก ว่าเราใช้อะไรเวลาลุยๆ ออกไปทำกิจกรรม outdoor ตรงนี้ก็แนะนำเพื่อนๆ หรือคนรู้จักได้”

ลักษณะนิสัยของเรากับสิ่งที่คนอื่นเห็นภายนอกเหมือนกันไหม

“คนอาจจะคิดว่าเราเป็นศิลปิน สะกดคนดูนับร้อยนับพันได้บนเวทีต้องมีความมั่นใจมากแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วติวเป็นคนคิดมาก อ่อนไหวง่ายมาก ไม่เหมือนภายนอกที่หน้าตาบุคลิกดูจะมั่นใจไปทั้งหมด”


แบบนี้เรามีวิธีการจัดการอารมณ์ความรู้สึกยังไง เพราะบทบาทศิลปินกับนิสัยของคุณติวดูเหมือนจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก

ย้อนกลับไปตอนที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตต่อหน้าคนนับพันครั้งแรกที่อิมเเพค เมืองทองธานี ซึ่งแม้ว่าเราจะเป็นคนชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยเจอคนเยอะเท่านี้มาก่อน ตื่นเต้นมาก สั่นเลย แต่พอได้ฝึกฝนขึ้นเวทีไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มชินขึ้น ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน ถ้าเรามัวแต่กลัวมันเราก็จะไม่สามารถเอาชนะมันได้

“จริงๆ แล้วธรรมชาติของติวเป็นคนคิดมาก ประกอบกับเราเป็นโรคประจำตัวคือ Panic Disorders ที่จะตื่นเต้น ตื่นกลัวกับทุกสิ่ง แต่เราก็ค่อยๆ รักษามาเรื่อยๆ เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์รอบตัวที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เราเกิดอาการกำเริบขึ้นมา แต่เป็นเพราะสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ แต่ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ ดีขึ้นมาก แล้วจากที่เราเคยแบ่งปันประสบการณ์ของโรคนี้ใน Facebook ก็มีคนสนใจแล้วก็เหมือนจะมีคนเป็นโรคนี้มากพอสมควร ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะให้ความรู้กับคนเหล่านั้นถึงการปรับตัว การรักษา การใช้ชีวิตจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา”


หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าศิลปินสาวมาดเท่แบบคุณติว ก็เคยเป็นบรรณาธิการนิตสารชื่อดังมาก่อน

มันเริ่มมาจากที่เราไปเป็นนางแบบให้ Cheeze Magazine ก่อน แล้วเขาก็เห็นว่าเราสนใจเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว ก็เลยถูกทาบทามให้ลองเขียนคอลัมน์ดู พอเขียนไปเรื่อยๆ หลายๆ ฉบับ ทางแมกกาซีนก็มีการวางแผงเล่มพิเศษออกมาปีละ 2 ครั้ง เขาก็ให้เราเป็นบรรณาธิการอยู่ช่วงหนึ่ง ถ้าถามว่าชอบการทำงานเขียนพวกแฟชั่นไลฟ์สไตล์นี้ไหม ตอบได้เลยว่าชอบ แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบการทำงานแบบเป็นรูทีน ตอกบัตรเข้าเวลานั้นเวลานี้ มันขัดกับลักษณะนิสัยเราที่เป็นคนค่อนข้างอิสระ ตั้งแต่เรียนจบมาก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์มาตลอด



เห็นว่าคุณติวเป็นคนชอบทำธุรกิจกับเพื่อนๆ ตอนนี้เรามาถึงจุดไหน ประสบความสำเร็จหรือเปล่าแล้วมีแนวคิดอย่างไรกับการทำธุรกิจบ้าง

“ติวเป็นคนที่มีความสนใจด้านธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับธุรกิจด้านความสวยความงามตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าเกิดไปทำแบบไม่ได้ศึกษาอะไรจริงๆ จังๆ ก็น่าจะไม่ดีสักอย่าง เราเลยค้นหาว่าเราชอบอะไร อย่างที่ผ่านมาก็เคยลงทุนทำร้านอาหารกับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้เรา จนถึงตอนนี้เราก็มาเป็นหุ้นส่วนร้านทำผมให้เพื่อนชื่อ 77th Salon and Barber ถือว่าโชคดีที่ที่บ้านให้โอกาสเราได้ลองผิดลองถูกจนเจอสิ่งที่ใช่ ดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไร เพราะหากว่าเราเริ่มแล้วมันไม่ใช่เราก็ต้องปรับเปลี่ยนกันไป”


กลับมาที่บทบาทการเป็นศิลปิน เรายังรู้สึกสนุกกับมันแล้วในอนาคตจะทำต่อไปอีกนานแค่ไหน

งานเพลงเป็นงานที่ชอบที่สุดตั้งแต่ทำงานมาทั้งหมด ซึ่งตอนนี้บทบาทนักร้องนำวง Kidnappers ก็กำลังสนุกกับมันมาก ตอนนี้ออกมา 4 เพลงแล้ว เดินทางมาถึงครึ่งอัลบั้ม ส่วนตัวเราเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ พอได้มาร่วมงานกับวงที่ชอบอยู่แล้ว แนวเพลงที่เราชอบอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าไปกันได้ด้วยดีเข้าไปใหญ่ และก่อนที่ติวจะเข้ามารับหน้าที่ร้องนำตรงนี้เราก็ได้ตกลงกับพี่ๆ ในวงแล้วว่าจะไม่ได้ทำเพราะเป็นอาชีพหลักหรือเพื่อหารายได้เท่านั้น เพราะเราก็มีอาชีพอื่น แล้วพี่ๆ ในวงเขาก็มีอาชีพอื่นเหมือนกัน ตรงนี้ก็ถูกขับเคลื่อนด้วย passion ล้วนๆ และติวก็รู้สึกว่ามีความสุขมาก


แรงบันดาลใจของคุณติวในการทำงานหรือการใช้ชีวิตคืออะไร



“ติวเป็นคนที่ชอบมองคนรอบข้าง คนใกล้ตัวที่ประสบความสำเร็จ โดยที่เขาเริ่มจากไม่มีอะไร จนไปประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง เพราะส่วนตัวไม่ได้มองว่าคนที่ร่ำรวยคือคนที่ประสบความสำเร็จทุกคน 100% เพราะเขาอาจจะมีต้นทุนที่ดีมาอยู่แล้วในบางครั้ง เราก็เลยชอบซึมซับ เรียนรู้ความสำเร็จจากเพื่อนที่รู้จักกันมากกว่าว่าเขามีวิธีอย่างไร”



มาถึงผู้หญิงเก่งคนสุดท้าย คุณเตย ณัชชา เมฆรักษาวนิช ดีไซเนอร์สาวผมสั้นลุคมั่นใจ ผู้ออกแบบกระเป๋าและรองเท้าชื่อดังภายใต้แบรนด์ NASHA กับอีกมุมสงบที่หลายๆ คนยังไม่รู้

เรามีอีกด้านที่คนอื่นยังมองไม่เห็นบ้างไหม

จริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นเห็นเราเป็นยังไง อาจจะดูดุ ชอบสังสรรค์ปาร์ตี้ แต่จริงๆ อาจจะมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราชอบนอนเล่นกับหมา กิจกรรมหลักๆ เวลาที่ไม่ได้ทำงานเลยคือการพักผ่อน การเดินเล่นตามสวนสาธารณะแบบสงบๆ พาหมาไปเดินเล่นอะไรแบบนั้น เป็นคนชอบเล่นโยคะ ออกกำลังกาย แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือ ชอบนอนอยู่บ้านเฉยๆ เงียบๆ เพราะมันถือเป็นการพักผ่อนจริงๆ ซึ่งถ้าเห็นจากโลกโซเชียลก็คงจะคิดว่าเราชอบสังสรรค์ออกงานสังคมต่างๆ นานา แต่จริงๆ แล้วเราชอบนอนอยู่บ้านแล้วก็ไม่แตะมือถือเลย ไม่ถ่ายรูปอะไรเลย


ลักษณะนิสัยของคุณเตยจริงๆ แล้วเป็นแบบไหน

“เตยคิดว่าในตัวเตยมี หลายบุคลิกอยู่ในตัว บางอารมณ์เราก็จะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อะไรก็ได้ทำเหมือนไร้สาระไปวันๆ แต่อีกตัวตนนึงก็จะออกมาเวลาทำงาน ที่เราต้องจริงจัง ซึ่งตรงนี้มันอาจจะแสดงออกมาชัดทางสีหน้า เพราะหน้าเราดุอยู่แล้ว แล้วเราก็เป็นคนค่อนข้างอ่อนไหวกับสิ่งรอบตัวนะ แต่พอเราโตขึ้นแล้วมีการจัดการอารมณ์ที่ดีขึ้นแล้วประกอบกับการใช้เหตุผลในการกระทำทุกๆ อย่าง มันก็จะช่วยลดอาการคิดมากต่างๆ ได้ ก็เหมือนเป็นวุฒิภาวะที่เราโตขึ้นอีกแบบนึงในการใช้ชีวิต”


แต่การปฏิสัมพันธ์ในสังคมเราก็ยังทำได้ดี แม้ว่าจะดูเหมือนดุอยู่ตลอดเวลา

จริงๆ ก็เป็นธรรมชาตินะ สมมติว่าเราเจอใครที่เราไม่ได้รู้จักมาก่อน เราก็คงจะไม่ได้วิ่งเข้าไปหา ทักทายเขาก่อน แต่ในทางกลับกัน ถ้ารู้จักกันอยู่แล้วเราก็จะคุยแบบสนุกสนาน แต่ถ้าอยู่ในการทำงาน เราก็จะมีความจริงจังขึ้นมาอีกระดับ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ

“ด้วยความที่เราเป็นคนชอบทำงานมาก ทุ่มเทเวลาให้กับงานเต็มๆ เลยคิดว่าการมีลูกน่าจะไม่ใช่สิ่งที่มาเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของเรา แล้วเราก็มีความสุขที่จะอยู่แบบนี้ เตยคิดว่าคนเราจะมีลูกมันต้องอยากมีจริงๆ”

จากการใช้ชีวิตครอบครัวกับสามี คุณเตยคิดยังไงกับการมีลูกบ้าง

“ชีวิตหลังการแต่งงานกับก่อนแต่งงานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เตยตั้งใจไว้แล้ว ตั้งมั่นเป็นปณิธานเลยว่าจะไม่มีลูก เพราะด้วยความที่เราเป็นคนชอบทำงานมาก ทุ่มเทเวลาให้กับงานเต็มๆ เลยคิดว่าการมีลูกน่าจะไม่ใช่สิ่งที่มาเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของเรา แล้วเราก็มีความสุขที่จะอยู่แบบนี้ เตยคิดว่าคนเราจะมีลูกมันต้องอยากมีจริงๆ ซึ่งเราเองก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ตั้งแต่เด็กๆ เลยว่าจะไม่มีลูก เป็นหนึงในความฝันวัยเด็ก”


ทำงานหนักแบบนี้มีการแบ่งเวลาระหว่างการพักผ่อนและการทำงานอย่างไรบ้าง

“เราชอบที่จะอยู่กับครอบครัว เล่นกับหมา พักผ่อนอยู่บ้านสบายๆ เตยก็เลยไม่คิดว่าเราเหนื่อยล้าอะไรจากการทำงานมาก เพราะในทุกๆ วันก็ถือเป็นการพักผ่อนอยู่แล้ว เตยจะแบ่งเวลาให้กับงานไปเลยตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงหนึ่งทุ่ม แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาของการพักผ่อน และเสาร์อาทิตย์ก็จะไม่แตะงานเลย มันเหมือนเราให้เวลากับตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

“การพักผ่อนแบบไม่คิดอะไรเลย มันก็ให้อะไรกับเราหลายๆ อย่าง เพราะตอนเราได้พักผ่อนแบบจริงๆ จังๆ สมองเรามันจะเปิดรับทุกๆ อย่าง ทั้งความคิดความสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ และมักจะได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ ตลอดเวลา”



มีอะไรที่ยังอยากทำและอยากเรียนรู้อีกบ้างไหม

ในบริษัทเองจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำด้านดีไซน์ 100% ก็จะมีด้านอื่นๆ บ้างเช่น ทำการตลาด จัดการด้านการเงิน ไปจนถึงทำประชาสัมพันธ์ แล้วเราก็สนุกกับการที่ต้องเป็นหลายๆ คนในบริษัท ซึ่งตรงนี้มันก็ท้าทายพอสมควร ทำให้เราไม่เบื่อกับการทำงานแบบเดิมๆ ทำให้เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าการทำอะไรอยู่ที่เดิมซ้ำๆ ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เรารัก แต่วันหนึ่งเราก็อาจจะไปถึงจุดอิ่มตัวจนเบื่อมันได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหาอะไรที่หลากหลายทำ เพื่อท้าทายความสามารถตัวเองตลอดเวลา




แล้วคุณล่ะเป็นผู้หญิงแบบไหน? มาจุดประกายพลังอันไร้ขีดจำกัดของตัวเอง ร่วมฉลองไปกับผู้หญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ กับกิจกรรมเพื่อความสุขให้ผู้หญิงทุกคนตลอดเดือนสิงหาคม ที่สยามดิสคัฟเวอรี่

Follow us:

Facebook : siamdiscovery
Twitter : @siamdiscovery1
Instagram : @siamdiscovery
Website : siamdiscovery.co.th

YOU MAY ALSO LIKE