BACK TO EXPLORE

10 ความเข้าใจผิดที่ทำให้ร่างกายไม่ฟิต+หุ่นไม่เฟิร์ม แต่วันนี้คุณจะเปลี่ยนไป!

10 ความเข้าใจผิดที่ทำให้ร่างกายไม่ฟิต+หุ่นไม่เฟิร์ม แต่วันนี้คุณจะเปลี่ยนไป!
เทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชาญจาก Virgin Active ขอเคลียร์ให้คุณสุขภาพดีจริงๆ

พูดว่าจะลดความอ้วนมาตั้งนาน ออกกำลังกายก็แล้ว เปลี่ยนการกินก็แล้วแต่หุ่นก็ยังคงเดิม เกิดอาการท้อจนล้มเลิกความตั้งใจที่จะสุขภาพดี นั่นเพราะว่าคุณกำลังขาดคำแนะนำที่ถูกต้อง บางความเชื่อที่เราเคยเข้าใจ แค่มีกูรูมาแนะนำก็สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณให้เฮล์ธตี้ตลอดกาล และที่ Virgin Active ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่มีผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมจะตอบปัญหาที่คาใจมานาน ครั้งนี้ล่ะเราจะฟิตและเฟิร์มถาวรแน่นอน

Meet The Expert:
สหพงศ์ โหมดทอง (นนท์) Fitness Professional Team Manager




Myth 1: “ผู้หญิงมาเล่นเวท ระวังหุ่นบึกบึนเหมือนนักเพาะกล้ามนะ”
False! “ผู้หญิงถามมาเยอะว่าเล่นเวทแล้วกล้ามเนื้อจะใหญ่เกินไปมั้ย ผมจะบอกว่าขนาดผู้ชายที่ออกกำลังกายมา 3-4 ปียังไม่ใหญ่เหมือนนักเพาะกายเลย เพราะผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศชายน้อยกว่า 3 เท่าเลยทำให้พวกเขามีกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย 3-4 เท่าเช่นกัน ที่เห็นว่าเล่นแล้วยังตัวใหญ่จะเป็นไขมันสะสมมากกว่า การเล่น weight-training ข้อดีคือช่วยรักษามวลกระดูก รักษาการเผาผลาญ ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ถ้ามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ไม่ว่าลุก เดิน นั่ง เราจะใช้ชีวิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแต่ข้อดี อย่างดาราหลายๆ คนที่ถ่ายรูปโชว์กล้ามเนื้อแปลว่าเขาออกมาหนักมาก ถ้าเกิดไปเจอตัวจริง จะเห็นเลยว่าตัวเล็กมาก แต่ที่เห็นเป็นกล้ามเนื้อเพราะเขาไม่มีไขมันเลยดูมีกล้ามชัดเจน”




Myth 2: “อยากลดหน้าท้องอย่างเดียว ส่วนอื่นโอเคหมดแล้ว”
False! “หลายคนที่เข้ามาเทรนจะถามคล้ายๆ กันว่าอยากลดแค่หน้าท้อง ลดแค่ต้นขา ลดแขนอย่างเดียวทำได้มั้ย คำตอบคือไม่ได้ครับ เพราะไม่ว่าเราจะเล่นแต่ขาก็ไม่ได้การันตีว่าขาจะลด จากประสบการณ์ที่เทรนนิ่งมาก็จะเทรนขาเหมือนกัน เป้าหมายไม่ใช่แค่ต้องการให้ลดขา แต่ขาเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ การออกกำลังกายตรงนี้จะใช้พลังงานเยอะ ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันได้มาก บางคนออกกำลังกายช่วงขาไปเยอะๆ แต่ขายังไม่ได้ลง แขนลงก่อน บางคนหน้าตอบ บางคนหน้าท้องลด ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกายที่หน้าเลยแต่หน้าเล็กลงก่อน ดังนั้นไม่ได้เกี่ยวกับว่าถ้าจะลดช่วงขา ต้องไปเล่นกล้ามเนื้อขาอย่างเดียว อยู่ที่ว่าไขมันที่หายไปหายส่วนไหนไปก่อน เป็นการลดน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าเขาจะลดอะไรก่อนครับ”


Myth 3: “คนที่เหงื่อออกเยอะๆ เท่ากับเบิร์นไขมันได้ดี”
False! “จริงๆ แล้วไขมันไม่ได้ออกมาทางเหงื่อ เหงื่อคือน้ำในร่างกาย เวลาร่างกายเกิดความร้อนจากการทำกิจกรรมต่างๆ กลไกการรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติจึงต้องขับน้ำออกมา อาจจะเห็นว่าหลังออกกำลัง ชั่งน้ำหนักแล้วลด เพราะร่างกายเสียน้ำ ถ้ากินน้ำก็กลับมาเท่าเดิม ดังนั้นบางคนเล่นเวทเทรนนิ่ง เหงื่อไม่ออก ไม่ได้แปลว่าตัวเองไม่ได้เบิร์นจริง เป็นคนละเรื่องกันระหว่างเหงื่อกับไขมัน”




Myth 4: “อยากลดน้ำหนักเร่งด่วน 1 เดือนขอลง 10 กิโล”
False! “จริงๆ ไม่ผิดนะที่เขาจะคิดแบบนั้น เพราะมีหลายวิธีที่ทำได้จริง แต่ต้องถามตัวเองว่าเราอยากลดน้ำหนักอย่างเดียวหรืออยากมีสุขภาพดียั่งยืน เพราะถ้าคนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติที่ไม่ได้เป็นโรคอ้วน การลด 10 กิโลกรัมในเดือนเดียวเป็นการลดมากเกินไป ร่างกายจะทรุดโทรม ตามการศึกษาบอกว่าการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพควรอยู่ที่ 2 กิโลกรัมต่อเดือนหรือสัปดาห์ละครึ่งถึง 1 กิโลกรัม”


Myth 5: “เจ็บแล้วต้องซ้ำ”
False! “เหตุการณ์นี้จะเกิดกับผู้ชายที่เล่นเวทเทรนนิ่งด้วยความเชื่อเก่าๆ ที่พอเล่นแล้วรู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อแล้วให้ไปซ้ำจะทำให้ดีขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดคือให้กล้ามเนื้อพัก กินอาหารให้เพียงพอหรือช่วงเวลา recovery มีงานวิจัยออกมาว่าถ้ายิ่งไปเล่นกล้ามเนื้อมัดเดิมที่เจ็บอยู่ จะลดการพัฒนากล้ามเนื้อนั้น แต่คนที่เจ็บแล้วพักค่อยมาเล่นใหม่จะมีการพัฒนากล้ามเนื้อได้มากกว่า รวมทั้งเราต้องแยกให้ได้ว่าเป็นการบาดเจ็บหรือเมื่อยที่เรียกว่า DOMS ซึ่งเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อในกล้ามเนื้อเล็กๆ ในกล้ามเนื้อมัดใหญ่อีกที โดยจะเมื่อยอยู่ 3-4 วัน แต่ถ้าเป็นการบาดเจ็บกล้ามเนื้อใหญ่ๆ จะเจ็บนาน 1-2 สัปดาห์”

คุณนนท์แนะนำว่าถ้าไม่อยากให้เกิดอาการนี้บ่อยๆ ให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุด โดยให้ยึดการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ระดับความหนักปานกลาง เวทเทรนนิ่ง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเน้นที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่


Myth 6: “อยากมีกล้ามแน่นๆ ต้องยกน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
False! “ผู้ชายส่วนใหญ่เวลาเล่นเวทเทรนนิ่งจะโฟกัสน้ำหนักที่ยกมากกว่าท่าทางที่ถูกต้อง บางคนใช้น้ำหนักในการยกท่าหนึ่งหนักมาก แต่ท่าทางที่ใช้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ เพราะเขาพยายามโกงตัวเองให้ยกน้ำหนักนั้นได้ เช่น เขายกน้ำหนักด้วยต้นแขนด้านหน้า แต่แอ่นหลังช่วย ก็มีผลทำให้ปวดหลัง เพราะใช้น้ำหนักมากเกินไป เลยใช้ตัวหรือหลังช่วย มากกว่าใช้มือกับแขนอย่างเดียว ผมจะแนะนำว่าต้องโฟกัสกล้ามเนื้อให้ได้ก่อน มีท่าทางที่ถูกต้อง เรื่องน้ำหนักมาทีหลังเลย สิ่งที่ควรจะเริ่มคือเช็คก่อนว่าเขามีความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อต่อ มีการเคลื่อนไหวสมบูรณ์หรือเปล่า มีความมั่นคงและทักษะการเคลื่อนไหวข้อต่อ ท่าทางในชีวิตประจำวัน จากนั้นไปที่ตัวโหลดและน้ำหนักเป็นอันดับสุดท้าย ไม่สามารถบอกได้ว่าคนนี้ยกเท่าไหร่ ต้องเกิดจากการทดลองก่อน เป็นเหตุผลว่าคนที่มาสมัครฟิตเนสควรเริ่มโปรแกรมสตาร์ทก่อน เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องยกเท่าไหร่ ลิมิตตัวเองแค่ไหน มาถึงก็วิ่งเลย ยกเลย ยังไม่รู้วิธีการออกกำลังที่ถูกต้อง”




Myth 7: “วอร์มอัพเสียเวลา ไม่จำเป็นหรอก”
False! “คนจะขี้เกียจวอร์มอัพ มาถึงก็วิ่งเลย ยกเวทก็ยกเลย ทำให้หลายคนเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย เราไม่รู้ว่าบางวันกล้ามเนื้อเราพร้อมหรือเปล่า แต่จะดีกว่าถ้าเสียเวลา 10-15 นาทีในการวอร์มอัพร่างกาย  เพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น เช่น จ็อกกิ้ง การเดิน วอร์มข้อต่อที่เราจะใช้ด้วยน้ำหนักที่เบาๆ เช่น การหมุนแขน หมุนข้อมือ การเคลื่อนไหวมัดกล้ามเนื้อเบาๆ ให้ตื่นก่อนออกกำลังกายและหลังการออกกำลังกายเสร็จต้องไม่ลืมคูลดาวน์ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้ไล่กรดแลคติกและเลือดให้กลับเข้าสู่แกนกลางของร่างกาย เพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อ การยืดกล้ามเนื้อคือเพิ่มมุมในการเคลื่อนไหว ลดการบาดเจ็บได้”


Myth 8: “กินผลไม้แทนมื้ออาหาร”
False! “ต้องเข้าใจก่อนว่าอาหารรวมทั้งผลไม้ก็มีแคลอรี่ ไม่ได้ห้ามกินนะครับ แต่อะไรที่มากเกินไปก็ทำให้อ้วนได้ ถ้าไม่กินข้าว แต่กินกล้วยหวีหนึ่งก็ทำให้แคลอรี่มากกว่าข้าวจานหนึ่งด้วยซ้ำ เราควรกินในสัดส่วนที่พอดีดีกว่า”


Myth 9: “เลี่ยงอาหารมีไขมันให้มากที่สุด”
False! “ไขมันมีแคลอรี่มากกว่าคาร์โบไฮเดรตและการกินไขมันเยอะทำให้อ้วนได้ คนเราถึงปลูกฝังให้กลัวไขมัน แต่ตัวร้ายที่หลายคนคาดไม่ถึงคือคาร์โบไฮเดรต เพราะถ้ากินคาร์โบไฮเดรตเยอะแล้วใช้ไม่หมด ตรงนั้นจะแปรรูปมาเป็นไขมันได้มากกว่าการกินไขมันอีกนะ แถมคาร์โบไฮเดรตยังทำให้เราเสพติด อยากกินตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้หญิงจะชอบกินอาหารแนวคาร์บช่วงก่อนประจำเดือน พอกินของหวานเป็นประจำ ร่างกายจะติดน้ำตาล เลยทำให้ลดน้ำหนักยากกว่ากินไขมัน บางคนจะให้เหตุผลว่าเครียดเลยอยากกินของหวาน เวลาเราเครียดคอร์ติซอลในร่างกายสูง อินซูลินจะพุ่งสูงขึ้นมาเลยดึงน้ำตาลในกระแสเลือดกลับเข้าสู่เซลล์ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดน้อย เราก็จะโหยน้ำตาล พอเรากินน้ำตาลปั๊บ อินซูลินก็พุ่งมากวาดน้ำตาล เราก็หิวอีก น้ำตาลในขนมเลยทำให้เราหิวบ่อย ถ้ากินคาร์โบควรให้เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและไม่ผ่านการขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวไรซ์เบอร์รี่ทำให้เราอิ่มท้องนานกว่า แต่ต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเองลดขนมหวานลง”


Myth 10: “อ้วนเพราะโยโย่จะทำให้เราลดน้ำหนักยากขึ้นเรื่อย”
True! “ร่างกายเราสูญเสียกล้ามเนื้อไปเยอะ มีแต่เก็บไขมันมันจะสงวนการใช้พลังงานไม่ให้ตัวเองตาย อาจยากขึ้นแต่ไม่ใช่กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ แต่มีขั้นตอนมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมเพราะน้ำหนักจะเพิ่ม เค้าต้องกลับไปกินให้ปกติแล้วมาลดหน่อย”


ถ้าคุณอยากออกกำลังกายและปรับวิธีใช้ชีวิตอย่างถูกวิธี สุขภาพดีกันยาวๆ สามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะได้ที่ Virgin Active ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่

YOU MAY ALSO LIKE